TH | EN
TH | EN
spot_imgspot_imgspot_img
หน้าแรกStartupวารีกุญชร ‘บพข.’ นำสตาร์ตอัพไทยเปิดตลาดโลก

วารีกุญชร ‘บพข.’ นำสตาร์ตอัพไทยเปิดตลาดโลก

นวัตกรรมอาหารเพื่อความยั่งยืนในอนาคตเป็นเทรนด์ที่โลกตื่นตัว กระตือรือร้นที่จะสร้างสรรค์ และประเทศไทยมีกลุ่ม Food Tech Startups กว่า 200 รายในเมืองนวัตกรรมอาหารที่ต้องการเวทีขยายตลาดให้กว้างกว่าเฉพาะภายในประเทศ ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในงาน London Tech Week 2024 บพข. ได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน นำ 10 ผลงานของสตาร์ตอัพออกสู่ตลาดโลก ผ่านการนำเสนอทั้งรูป รส และกลิ่น ในธีม ‘หิมพานต์’

รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รองผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์วิจัย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เล่าถึงกิจกรรม “Thailand’s Taste of Tomorrow : Fostering the Future of Food, Faith and Flavours” ว่า จากการที่ บพข. ให้ทุน FOREFOOD แพลตฟอร์มบ่มเพาะและเร่งรัดสตาร์ตอัพที่นำงานจากมหาวิทยาลัยมาเป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายได้ ซึ่งมีกลุ่ม Food Tech Startups กว่า 200 รายในเมืองนวัตกรรมอาหาร สร้างผลิตภัณฑ์หลากหลาย แต่ตลาดไทยมีขนาดจำกัด จึงต้องการเพิ่มโอกาส หรือเวทีให้ผู้ประกอบการรายเล็กออกต่างประเทศที่เป็นตลาดใหญ่บ้าง

โดยนำเสนอนวัตกรรมอาหารไทยจากแพลตฟอร์มส่งเสริมการตลาดสำหรับธุรกิจนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต (FOREFOOD Business Acceleration Platform for Food Tech Startups & Spinoffs) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการการทดสอบแพลตฟอร์มส่งเสริมการตลาด สำหรับธุรกิจนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต สู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดในตลาดโลก (Food Innovation Global Market Launchpad Testbed: Thailand’s Taste of Tomorrow)” เพื่อเร่งขับเคลื่อนงานวิจัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Science and Technology) ออกสู่เชิงพาณิชย์

ทั้งนี้ ได้คัดเลือกสตาร์ตอัพ 10 ราย ที่มีผลิตภัณฑ์ต่างกันเข้าร่วมงานที่จัดไปเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2567 ณ ริเวอร์ไซด์ สตูดิโอ กรุงลอนดอน ให้ไปนำเสนอผลงาน พบปะนักลงทุน ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพ โดยคาดหวังว่า เมื่อพบนักลงทุนแล้วจะทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้น วัตถุดิบในประเทศเกิดการซื้อขายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ เกิดการเพาะปลูกและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรมมากขึ้น

แขกรับเชิญประมาณ 100 คน จะได้รับชมรับฟังการนำเสนอผลงานผ่านกิจกรรมกระตุ้นสื่อประสาทสัมผัสทั้งห้าของผู้บริโภค โดยผสมผสานการเล่าเรื่องอาหารผ่านวัฒนธรรมไทย ด้วยแรงบันดาลใจจากตำนานป่าหิมพานต์ นำเสนอนิทรรศการ หิมพานต์รีมิกซ์ 2050

วารีกุญชร บพข. พานักวิจัยข้ามฝั่ง

“CEA ช่วยคิดธีมป่าหิมพานต์ ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วจะพบความมหัศจรรย์ต่าง ๆ สัตว์ที่มีฤทธิ เช่น วารีกุญชร หรือช้างตัวใหญ่ที่มีครีบมีหางเป็นปลา ทำหน้าที่พาคนจำนวนมากข้ามแม่น้ำที่ทั้งกว้างทั้งลึก ซึ่งช้างปกติจะทำไม่ได้ เปรียบเสมือน บพข. ที่ทำหน้าที่พานักวิจัยข้ามผ่านไปสู่ commercialization เป็นความแปลกใหม่ที่จับต้องได้”

นอกจากอังกฤษแล้วยังสนใจตลาดฝรั่งเศส “ที่อาจจะยากหน่อย” และประเทศอื่น ๆ เช่น ออสเตรเลีย ประเทศอื่น ๆ ในยุโรป เช่น เบลเยี่ยม กลุ่มนอร์ดิก และโปแลนด์ โดยจะใช้วิธีเวียนจัดในแต่ละประเทศซึ่งต้องปรึกษากับกระทรวงการต่างประเทศ และทูตพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม สตาร์ตอัพที่จะไปร่วมแสดงผลงานจะไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน แต่ใช้หมุนเวียนไปในแต่ละประเทศ ซึ่งมีกลุ่มที่พร้อมทันทีอยู่ 30-40 ราย มีผลิตภัณฑ์มาตรฐานแล้ว TRL (Technology Readiness Level) ขั้น 6-7 แต่ไม่มีโรงงานเป็นของตัวเอง ต้องจ้างผลิต

พร้อมกันนี้ มีแผนจะนำรูปแบบเดียวกันนี้มาจัดแสดงในประเทศไทย ในช่วง Bangkok Design Week ครั้งต่อไปด้วย

ผนึกความร่วมมือรัฐ-เอกชน

งานที่ลอนดอนยังได้รับความร่วมมือจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โครงการจัดตั้งศูนย์การศึกษาด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปวิทยาการอาหารนานาชาติ (ศกศอ.) คณะพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยแม่โจ้ หน่วยวิจัยทางประสาทสัมผัสและผู้บริโภคแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KUSCR) คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต กรุงลอนดอน

ภาคเอกชนชั้นนำด้านอาหาร ได้แก่ บริษัท เกรฮาวด์ คาเฟ่ จำกัด สร้างสรรค์รายการอาหาร SILPIN Thailand ร่วมนำเสนอ “ศิลปะแห่งรสสยาม” (The Art of Siamese Taste) ที่ไม่เหมือนใคร ภายในแกลเลอรีกลิ่น (Olfactory Gallery) และหอการค้าจันทบุรี จัดหาวัตถุดิบบางอย่าง

สตาร์ตอัพที่เข้าร่วมงาน

pmuc Food Tech Startups

เม็ดฟู่สมุนไพรรสผลไม้ไทย

เพ็ญสิริ ณ นครพนม CEO, co-founder บริษัท เก็ท เทสท์ ไทย จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์เม็ดฟู่สมุนไพรรสผลไม้ไทย (Thai Fruit-Infused Herbal Effervescent Tablet) เล่าว่า ได้ Pitching งานเป็นเวทีแรกของบริษัท มีผู้ให้ความสนใจมากทั้งผู้จัดจำหน่าย โดยอยู่ในขั้นกำลังคุยกัน และนักลงทุน แต่บริษัทยังไม่เปิดรับการลงทุน

ผลิตภัณฑ์ของบริษัทถือเป็น The First in The World เม็ดฟู่อาหารเสริมรสผลไม้จากสารสกัดที่เป็นอัตลักษณ์ ละลายน้ำได้ ไม่ตกตะกอน ดูดซึมเร็วกว่า 7 เท่า ตอบโจทย์ผู้ป่วยที่มีภาวะกลืนยาก

ผลิตภัณฑ์เม็ดฟู่สมุนไพรรสผลไม้ไทย มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง บางคล้า มังคุดคีรีวงศ์ สับปะรดภูแล เป็นต้น เรียกว่าคัดสรรค์ความเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์อย่างแท้จริง โดยใช้เทคโนโลยีเชิงลึกที่คิดค้นเพื่อสกัดจนได้กลิ่น รสชาติ สารอาหาร วิตามิน ครบถ้วน แม้ปัจจุบันตลาดเม็ดฟู่จะมีผู้ผลิตจำนวนมาก แต่ยังไม่มีเม็ดฟู่สมุนไพรไทย และที่สำคัญคือการนำผลไม้จีไอมาเป็นวัตถุดิบ ก็มีเพียงแห่งเดียว การวาดฝันเข้าสู่ตลาดโลก จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก

“เป็นงานวิจัยปริญญาเอกของตัวเอง พัฒนาปลายปีที่แล้ว เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ ใช้กระบวนการผลิตที่เน้นความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีอัตลักษณ์ ingredient ไทย เพื่อยกระดับสู่ตลาดโลก ผลไม้ที่นำมาผลิตต้องเป็นสินค้า GI มีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ยกตัวอย่างขมิ้นชัน ต้องเป็นของสุราษฎร์ธานี เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบางคล้า สับปะรดภูเก็ต มะขามหวานเพชรบูรณ์ มังคุดในวงระนอง”

บริษัทเตรียมวางจำหน่ายเม็ดฟู่นี้ในเดือน ก.ค. 2567 ในช่องทางออนไลน์ ร้านขายยา และร้านผลิตภัณฑ์ความงาม รวมทั้งแพลตฟอร์มของบริษัท มีเป้าหมายทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โปรตีนไก่เข้มข้น

รศ.ดร.ขนิษฐา รุตรัตนมงคล อาจารย์/นักวิจัย ภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ฯ ม.นเรศวร เจ้าของ ChixTein ผงโปรตีนไก่เข้มข้น ผลงานอยู่ขั้น TRL 9 ได้มาตรฐานการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้ว เล่าว่า ผู้เข้าร่วมงานที่ลอนดอนส่วนใหญ่ชอบผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอมาก

จุดเริ่มต้นของการพัฒนาผลงานมาจาก Mission “Feed the World with Sustainable Protein” ต้องการเป็นผู้นำด้านโปรตีนทางเลือกและส่งมอบผลิตภัณฑ์โปรตีนที่มีความสะอาด เป็นธรรมชาติและมีคุณค่าทางโภชนากาต่อมวลมนุษยชาติและมีความยั่งยืน ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย (deep technology) และเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์อาหารในอนาคต ได้รับการสนับสนุนจาก บพข. และหน่วยงานอื่นๆ

ด้วยจุดแข็งด้านการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า I-Sec Technology, Automated Protein Fractionation Process ที่พัฒนาจากทุนวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจาก สกสว. และ บพข. เป็นเทคโนโลยีที่สามารถแยกโปรตีนและทำให้เข้มข้นขึ้นได้ ตัวแรกที่พัฒนาคือ Sixtein: Superfine Cricket Protein Powder และนำมาพัฒนาการใช้ประโยชน์กับการสกัดโปรตีนชนิดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ไก่ ได้เป็นผลิตภัณฑ์ ChixTein

จุดเด่นของ I-Sec technology คือ สามารถผลิตแบบต่อเนื่อง ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้แรงงาน และระยะเวลาในการผลิต ไม่ใช้สารเคมี จัดเป็น Green &Clean technology ที่สามารถ scale การผลิตได้ง่ายและมีความยืดหยุ่นในการปรับสภาวะได้สูง

สาหร่ายสไปรูลินา คลาสป่า

ผศ.ดร.พันธุ์วงค์ คุณธนะวัฒน์ ที่ปรึกษาบริษัท OverDaBlue และอาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เล่าว่า OverDaBlue เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสาหร่าย มี core technology คือ นวัตกรรมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายด้วยวิธีทางเลือก เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากท้องตลาด และโดยอาศัยกำลังคนและทรัพยากรที่หาได้ภายในประเทศ

ผลิตภัณฑ์ล่าสุดของบริษัทคือ Wild Algae และ Wild Algae – Spirucal ซึ่งทั่วไปอาจเคยรู้จักสาหร่ายสไปรูลินาในฐานะ superfood เพื่อสุขภาพ สไปรูลินาที่มีในท้องตลาดมีทั้งที่เป็นเกรดอาหารและเกรดออแกนิก

ผศ.ดร.พันธุ์วงค์ อธิบายว่า Wild Algae เป็นผลิตภัณฑ์สาหร่ายสไปรูลินา คลาสใหม่ คือเป็นคลาสป่า (เหมือนกับอาหารป่า เห็ดป่า) เรามีความเชื่อว่าสไปรูลิน่าจะมีสุขภาพดี และมีคุณประโยชน์มากที่สุด เมื่อได้เติบโตในสภาพตามธรรมชาติ (ป่า) แต่การจะยกสาหร่ายลงไปเลี้ยงตามแหล่งน้ำคงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

“Wild Algae คือผลิตภัณฑ์สาหร่ายสไปรูลินาที่ได้จากการเลี้ยงสาหร่ายในสภาพที่จำลองสภาพตามธรรมชาติของสาหร่าย ในเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขข้อบังคับทางการผลิตวัตถุดิบอาหาร จากการศึกษาพบว่า Wild Algae มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่สูงกว่า และมีความเป็นพิษระดับเซลล์น้อยกว่าสาหร่ายสไปรูลินาที่เลี้ยงด้วยสูตรอาหารสังเคราะห์เคมี”

ส่วน Spirucal เป็นผลิตภัณฑ์ลูกของ Wild Algae นอกจากเราจะสามารถผลิต Wild Algae ได้แล้ว เรามีเทคโนโลยีขั้นที่สองที่สามารถเลี้ยง Wild Algae ต่อเนื่องเพื่อให้สาหร่ายสะสมแร่ธาตุตามธรรมชาติแต่ในปริมาณมากขึ้น เช่น แคลเซียม

ผลิตภัณฑ์ Spirucal คือผลิตภัณฑ์สาหร่ายสไปรูลินาที่มีความพิเศษที่มีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าสาหร่ายสไปรูลินาปกติ ซึ่งนอกจากจะให้คุณค่าของสาหร่ายสไปรูลินาตามธรรมชาติแล้ว ยังให้แคลเซียมในปริมาณสูง

จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าแคลเซียมจาก Spirucal ความสามารถในการดูดซึมโดยร่างกายได้ดีเทียบเท่ากับนม จึงนับได้ว่า Spirucal สามารถเป็นทางเลือกอาหารเสริมที่เป็นอาหารตามธรรมชาติ ไม่มีการดัดแปลง (whole food) ที่เป็น superfood และเป็นอาหาร vegan ผู้บริโภคสามารถรับประทานเป็นอาหารเสริมแคลเซียมโดยตรง หรือเป็นส่วนผสมในมืออาหารปกติ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตในการบริโภคอาหาร เพื่อให้ได้รับแคลเซียมเพียงพอในแต่ละวัน

ปัจจุบัน Spirucal ในฐานะวัตถุดิบจากสาหร่ายเป็นผลิตภัณฑ์ที่พร้อมเข้าสู่การเจรจาธุรกิจแบบ B2B และอยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (finished good) แบบ B2C

แผนธุรกิจของบริษัทเป็นการทำงานร่วมกับเกษตรกรในท้องถิ่น ในฐานะของผู้สนับสนุนทางเทคโนโลยี และ mentor เพื่อให้เกษตรกรสามารถผลิตผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีคุณภาพ สามารถส่งต่อคุณค่าผลิตภัณฑ์นี้ไปยังผู้ประกอบการที่มีความเข้าใจในผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและต้องการพัฒนาแบรนด์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของตัวเอง (partnered ingredient traders) เพื่อทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ

ปัจจุบัน OverDaBlue ดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบให้เป็น finished goods ต้นแบบเช่นกัน โดยจะมุ่งเน้นขายผลิตภัณฑ์แบบ wholesale ให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจนำไปขายยังลูกค้าปลายทาง

เหมาะแก่การดูแลสุขภาพ

ผลิตภัณฑ์สามารถแปรรูปไปเป็นได้หลายรูปแบบ ทั้งอาหารเสริมพร้อมบริโภคโดยตรง เช่น เม็ดแคปซูล ขนมกรุบกรอบ หรือเป็นอาหารที่รับประทานคู่กับมื้ออาหารในชีวิตประจำวัน เช่น ผงโรยข้าว

ดังนั้น ผลิตภัณฑ์จึงเหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องการการดูแลสุขภาพ หรือผู้ที่สนใจเพิ่มปริมาณการบริโภคแคลเซียมเป็นพิเศษ และผู้ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอในแต่ละวัน ซึ่งมีอยู่หลากหลาย segment เช่น เด็กที่ต้องการแคลเซียมในการเจริญเติบโต วัยทำงานที่ต้องการการสะสมแคลเซียม ผู้บริโภคอาหารวิแกน หรือผู้ที่มีปัญหาไม่สามารถบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมได้ ทำให้ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ หรือผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องบริโภคแคลเซียมเพื่อชะลอภาวะกระดูกพรุน

วิศวกรแคลเซี่ยม

ดร.เอกโอฬาร โชคอนุสรณ์ CTO บริษัท เน็ตทริโอ อินโนไซน์ จำกัด เล่าประสบการณ์เคยเป็นมะเร็ง ระยะสอง และให้คีโมไม่ครบ เพราะร่างกายรับไม่ไหว ได้หนีกลับไปอยู่บ้าน รักษาด้วยการกินยาสมุนไพร หลังจากนั้น 6 เดือนไปตรวจ ไม่เจอเชื้อมะเร็ง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ต้องการผลิตอาหารเสริมดี ๆ แก่ผู้บริโภค

ขณะเดียวกัน ได้เห็นกระดูกปลาจากการผลิตทูน่ากระป๋องที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในโลก มีเศษเหลือทิ้ง หรือนำไปทำอาหารสัตว์จำนวนมาก จึงวิจัยและค้นคว้าผ่านเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมสินค้าไบโอแคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่าที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า และผสมสมุนไพร เพื่อประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นออร์แกนิกส์ 100% ดูดซึมง่าย ไม่มีสารตกค้าง

“Calcineers เริ่มต้นจากการวิจัยในห้องแล็ปของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการรวมคำกันระหว่าง Calcium และ Engineers ซึ่งเราต้องการเป็นวิศวกรที่มีศักยภาพสูงเรื่องแคลเซี่ยมรูปแบบต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค”

มีผลิตภัณฑ์หลัก 2 ผลิตภัณฑ์ที่พร้อมออกสู่ตลาด คือ 1. ไบโอแคลเซียมจากกระดูกปลาอัดเม็ดผสมสมุนไพรที่มีส่วนช่วยในการดูดซึมอีกกว่า 10 ชนิด และ 2. เม็ดฟู่ไบโอแคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่ารสส้ม โดยใช้ส้มจากอำเภอฝาง จังหวัดเชียงราย

นอกจากนี้ ในอนาคตจะมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค อาทิ อาหารจากพืช (Plant based food) ผสมไบโอแคลเซียมรสเนื้อแดดเดียว, นมผงไบโอแคลเซียมอัดเม็ด, กัมมี่เยลลี่ (gummy jelly) หรือเยลลี่แห้งที่มีส่วนผสมหลักจากไบโอแคลเซียม, น้ำผลไม้รสชาติต่างๆ ที่มีไบโอแคลเซียมเป็นส่วนผสม และอื่นๆ

“ผลิตภัณฑ์ที่เราผลิตจะมีส่วนผสมหลักเป็นไบโอแคลเซียมทั้งหมด นอกจากนี้เรายังจัดจำหน่ายวัตถุดิบผงไบโอแคลเซียมสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการวัตถุดิบไบโอแคลเซียมอีกด้วย”

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์หลักที่พร้อมออกสู่ตลาดภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า คือ ไบโอแคลเซียมจากกระดูกปลาอัดเม็ดผสมสมุนไพรที่มีส่วนช่วยในการดูดซึมอีกกว่า 10 ชนิด และเม็ดฟู่ไบโอแคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่ารสส้ม มีกลุ่มทุกเพศทุกวัย เริ่มจากกลุ่มวัยทำงาน และผู้สูงอายุก่อน เพราะเป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ

ส่วนแผนธุรกิจ มี  2 รูปแบบคือ 1. ขายวัตถุดิบไบโอแคลเซียมให้แก่โรงงานผู้ผลิตที่ต้องการผลิตสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายเอง และ 2. การขายสินค้าผ่านตัวแทนการจัดจำหน่าย, ช่องทางโซเซี่ยลมีเดีย, ร้านค้าปลีกต่างๆ เป็นต้น

ในอนาคตจะเจาะกลุ่มเป้าหมายไปยังเด็กและวัยรุ่น จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่จะออกตามมาดังที่กล่าวถึงข้างต้น

อีก 6 ผลิตภัณฑ์ร่วมงาน

นอกจากนี้ ยังมีอีก 6 ผลิตภัณฑ์ที่เข้าร่วมนำเสนอคือ 1. Plant Origin ผงไข่แพลนต์เบสด้วยโปรตีนจากรำข้าว (Plant-Based Egg Powder with Rice Bran Protein) 2. Samadul อาหารเพียวเร่จากธัญพืชพร้อมทานสำหรับผู้มีภาวะกลืนลำบาก (Plant-Based Purée for Dysphagia) 3. Rico ไวน์ข้าวหมักไร้แอลกอฮอล์จากข้าวไทย (Non-Alcoholic Rice Wine from Thai Rice)

4. ImuneUP ผลิตภัณฑ์ส่วนผสมเชิงฟังก์ชันส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน (Cell-Based Immune Boosting Ingredients) 5. Honey Medica น้ำผึ้งสมุนไพร หรือ Super Honey จากเสม็ดขาว (Sustainable Honey-Based Health Products from Melaleuca) และ 6. Musarium ซีเรียลอบกรอบเพื่อสุขภาพจากแป้งกล้วยน้ำว้าและข้าวไทย (Cereal-Based Products from Green Banana Flour and Thai Rice)

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เยี่ยมชมเมืองอุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อโลกยั่งยืน WHA Group จากสมุทรปราการ ถึงอีสเทิร์นซีบอร์ด

เปิดแนวคิด ESG ให้สตาร์ตอัพไทย เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน

KXVC ร่วมลงทุนใน Landing AI เปิดตัว LVM นวัตกรรมแรก ที่พัฒนาปัญญาประดิษฐ์จากข้อมูลภาพถ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ